A DEVELOPMENT OF PHONICS EXERCISES BASED ON COOPERATIVE LEARNING APPROACH (STAD TECHNIQUE) TO PROMOTE ENGLISH PRONUNCIATION AND READING ABILITY FOR THIRD GRADE STUDENTS AT BAN TUNGSAN SCHOOL

Abstract

The objectives of this research are 1) to create the efficiency phonics exercises for grade 3 students at Ban Tungsan School at the level of 80/80 and 2) to compare the students’ scores of readings between pre-learning and post-learning taught by phonics exercises to grade 3 students at Ban Tungsan School. The samples were13 students in Grade 3 students of Ban Tungsan School and were selected by purposive sampling in semester2, 2023. The research instruments were as follow;1) 14 lesson plans with phonics exercises 2) 12 units of phonics exercises and 3) reading aloud examination for 30 questions. Data were analyzed by the use of mean, standard deviation, and one sample T-Test.The research results were found that 1) The efficiency of phonics exercises was 80.30/82.05 that was higher than the level of 80/80 2) The average English post-test reading score of Grade 3 students was significantly higher than the average of pre-test reading score criteria at 0.05 level of significance.

การวิจัยในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษแบบโฟนิกส์ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียน ก่อนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านคำศัพท์แบบโฟนิกส์ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านทุ่งซ่าน จังหวัดกำแพงเพชร ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 รวมทั้งสิ้น 13 คน ซึ่งได้จากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) ทำการทดลองโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านคำศัพท์แบบโฟนิกส์ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD โดยใช้ระยะเวลาคาบเรียนละ 1 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 14 คาบเรียน เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านคำศัพท์แบบโฟนิกส์ จำนวน 14 แผน 2) แบบฝึกทักษะการอ่านคำศัพท์แบบโฟนิกส์ 3) แบบทดสอบวัดการอ่านออกเสียง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การหาค่าประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการอ่านคำศัพท์แบบโฟนิกส์ (E1/E2) และการเปรียบเทียบก่อนและหลังเรียน ด้วยค่า t-test dependent ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะการอ่านคำศัพท์แบบโฟนิกส์เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีค่าประสิทธิภาพ 80.30/82.05 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) ผลการเปรียบเทียบคะแนนการอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านคำศัพท์แบบโฟนิกส์มีคะแนนการอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05